เมื่อวันที่ 16 มีนาคมที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2565 มูลค่า 3.1 ล้านล้านบาท ลดลง 1.8 แสนล้านบาท แต่ก็ยังเป็นการขาดดุลงบประมาณถึง 7 แสนล้านบาท และจะส่งผลให้งบประมาณในหน่วยงานต่าง ๆ ส่วนใหญ่ลดลงอย่างแน่นอน
ในส่วนของกระทรวงกลาโหมนั้น รัฐบาลจะเสนอรัฐสภาเพื่อของบประมาณจำนวน 2.03 แสนล้านบาท ลดลง 1.1 หมื่นล้านบาท หรือลดลงราว 5.4% ซึ่งเป็นการปรับลดทุกหน่วยงานในกระทรวงกลาโหม สำหรับประเด็นที่เชื่อว่าทุกท่านน่าจะอยากทราบก็คืองบประมาณของกองทัพทั้งสามเหล่าทัพและโครงการจัดหาอาวุธนั้นจะลดลงเพียงใดนั้น มีรายละเอียดดังนี้ครับ
- กองทัพบก งบจัดหาอาวุธลดลง 5.9 พันล้านบาท คือลดจาก 2.83 หมื่นล้านบาทเหลือ 2.23 หมื่นล้านบาท
- กองทัพเรือ งบจัดหาอาวุธลดลง 460 ล้านบาท คือลดจาก 1.5 หมื่นล้านบาทเหลือ 1.46 หมื่นล้านบาท
- กองทัพอากาศ งบจัดหาอาวุธลดลง 1.14 พันล้านบาท คือลดจาก 2.07 หมื่นล้านบาทเหลือ 1.96 หมื่นล้านบาท
ซึ่งงบประมาณกลาโหมนั้นมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่องมา 2 – 3 ปีแล้ว ซึ่งก็สมเหตุสมผลเพราะประเทศกำลังเผชิญภาวะวิกฤตเศรษฐกิจ รัฐบาลต้องลดงบประมาณรายจ่ายลง ซึ่งรายจ่ายของกระทรวงกลาโหมนั้นไม่เกิดประโยชน์ต่อเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะงบซื้ออาวุธที่เป็นการซื้ออาวุธจากต่างประเทศ ดังนั้นจึงเป็นเป้าหมายในการถูกปรับลดลงเป็นส่วนแรก ๆ
แน่นอนว่าจะต้องมีโครงการหลายโครงการถูกตัดออกไปค่อนข้างแน่ แต่มีข้อสังเกตุคืองบประมาณการจัดหาของกองทัพเรือลดลงน้อยกว่ากองทัพอื่นอย่างมีนัยยะสำคัญคือลดลงเพียง 460 ล้านบาท ซึ่งอาจจะมาจากการที่ปีงบประมาณ 2564 นี้ กองทัพเรือมีงบซื้ออาวุธน้อยอยู่แล้วเพราะไม่ได้ดำเนินการจัดหาเรือดำน้ำลำที่ 2 และ 3 จึงทำให้ในปี 2565 นั้นถูกปรับลดไม่มากนัก

ทั้งนี้เรายังไม่มีข้อมูลว่าแต่ละเหล่าทัพจะต้องตัดโครงการใดออกไปบ้าง แต่เราอาจจะพอคาดเดาคร่าว ๆ จากกระแสข่าวได้ดังนี้ครับ
- กองทัพบก ซึ่งเป็นกองทัพที่ถูกตัดงบประมาณจัดหาอาวุธมากที่สุด โดยในปีงบประมาณ 2565 นั้น กองทัพบกเสนอขอจัดหาอาวุธรายการใหญ่หลายรายการ ซึ่งโครงการที่เป็นงบประมาณผูกพันมาตั้งแต่ปี 2564 นั้นคงจะตัดลดไม่ได้เพราะผูกพันสัญญาไปแล้วเช่น โครงการจัดหาเฮลิคอปเตอร์ AH-6 โครงการจัดหายานเกราะ Stryker โครงการจัดหาปืนใหญ่ 105 มม. และ 155 มม. หรือโครงการจัดหารถถัง VT-4
แต่กองทัพบกน่าจะมีการตัดลดโครงการใหม่ ซึ่งกองทัพบกมีโครงการจัดหาที่เป็นโครงการเริ่มใหม่เช่น โครงการจัดหาเฮลิคอปเตอร์ UH-60 Black Hawk มูลค่า 3,500 ล้านบาท โครงการปรับปรุงรถถัง M60 มูลค่า 720 ล้านบาท ซึ่งอาจจะต้องตัดออกทั้งหมด ทำให้เราคิดว่าปี 2565 โครงการจัดหายุทโธปกรณ์ใหม่ที่เป็นรายการใหญ่ ๆ จะเกิดขึ้นได้น้อย ยกเว้นกองทัพบกจะตัดรายการเล็ก ๆ ออกเพื่อรวบรวมงบประมาณมาจัดหายุทโธปกรณ์รายการใหญ่ ซึ่งหลังจากนี้ต้องรอติดตามกันต่อไป
- กองทัพเรือ ถูกตัดลดงบประมาณเพียง 460 ล้านบาทในปี 2565 ซึ่งที่่ผ่านมากองทัพเรือส่งสัญญาณเลื่อนจัดหาเรือดำน้ำ S26T ลำที่ 2 และ 3 โดยไม่ได้เสนอของบประมาณตรงนี้ตั้งแต่ต้นแล้ว แต่โครงการอื่นก็มีการของบประมาณด้วยเช่น โครงการปรับปรุงเรือหลวงปัตตานี มูลค่า 3,500 ล้านบาท โครงการปรับปรุงเครื่องบินตรวจการณ์ทางทะเล Do228 มูลค่า 800 ล้านบาท โครงการจัดหาเฮลิคอปเตอร์ลำเลียงขนาดใหญ่มูลค่า 3,500 ล้านบาท โครงการจัดหายานเกราะ VN-16 มูลค่า 800 ล้านบาท โครงการจัดหาเครื่องบินลาดตระเวนทางทะเลมูลค่า 1 หมื่นล้านบาท และโดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการจัดหาเรือหลายรายการเช่น โครงการจัดหาเรือ OPV ชุดใหม่จำนวน 1 ลำ มูลค่า 6.5 พันล้านบาท หรือโครงการจัดหาเรือฟริเกตุชุดเรือหลวงภูมิพลลำที่สองมูลค่า 1.65 หมื่นล้านบาท ซึ่งโครงการ OPV นั้นเป็นการต่อเรือในประเทศ น่าจะสมเหตุสมผลพอในการดำเนินโครงการต่อเพื่อให้อู่ในประเทศได้งาน แต่โครงการจัดหาเรือฟริเกตุชุดเรือหลวงภูมิพลลำที่สองนั้นยังไม่แน่ชัดว่าจะมาต่อในประเทศตามที่เคยมีแผนไว้หรือไม่
การปรับลดลงเพียง 460 ล้านบาท ทำให้กองทัพเรืออาจเลือกตัดออกเพียง 1 โครงการก็เพียงพอแล้ว หรืออาจจะตัดโครงการที่จำเป็นน้อยเช่น โครงการจัดหาดาวเทียมสื่อสารมูลค่า 400 ล้านบาทที่ดูไม่มีความจำเป็นและกองทัพเรือไม่มีขีดความสามารถในการใช้งานอย่างเต็มที่ รวมถึงดาวเทียมสื่อสารนั้นควรจะเป็นหน้าที่ของกองบัญชาการกองทัพไทยมากกว่า หรือแม้แต่อาจจะใช้วิธีกระจายการตัดงบประมาณไปทุกโครงการซึ่งจะทำให้แต่ละโครงการถูกตัดลดไปไม่กี่สิบล้านบาท ก็จะทำให้สามารถรักษาโครงการเอาไว้ได้ทั้งหมด
- กองทัพอากาศ ถูกตัดลดงบประมาณ 1.14 พันล้านบาท ซึ่งกองทัพอากาศมีหลายโครงการที่ดำเนินการอยู่และคาดว่าจะไม่ได้ถูกตัดออกไปเช่น โครงการจัดหาเครื่องบินโจมตีแบบ AT-6TH อีก 4 ลำ ทดแทน L-39ZA/ART ที่จัดหาในปี 2564 แล้ว 8 ลำ จะต้องจัดหาอีก 4 ลำในปี 2565 ซึ่งก็น่าจะไม่ถูกตัด รวมถึงโครงการที่เป็นงบประมาณผูกพันมาตั้งแต่ 2564 เช่น โครงการจัดหาเครื่องบิน T-50 ระยะที่ 4 จำนวน 2 ลำสุดท้าย โครงการจัดหาดาวเทียม Micro Satellite จำนวน 2 ดวง มูลค่า 1.4 พันล้านบาท หรือโครงการจัดหาเครื่องบินโจมตี AT-6 จำนวน 8 ลำแรก ก็น่าจะดำเนินต่อไป
ทั้งนี้ กองทัพอากาศมีโครงการใหญ่คือโครงการจัดหาเครื่องบินลำเลียงทดแทนเครื่องบินลำเลียงแบบ C-130 ที่มีอายุใช้งาน 40 ปี ซึ่งตามแผนเดิมจะเริ่มโครงการในปี 2565 นี้ แต่จากภาวะนี้น่าจะทำให้โครงการต้องเลื่อนออกไปแน่ เพราะเป็นโครงการที่ใช้งบประมาณทั้งโครงการในหลัก 4 หมื่นล้านบาทต่อ 12 ลำ โดยแบ่งเป็นสามระยะ ระยะละ 4 ลำ ซึ่งถ้าเลื่อนจริงก็น่าจะทำให้โครงการจัดหาเครื่องบินขับไล่ทดแทนเครื่องบินขับไล่แบบ F-16ADF ก็น่าจะต้องเลื่อนออกไปอีกด้วยแน่นอน
โดยรวมแล้ว TAF คิดว่าเป็นเรื่องที่เข้าใจได้และจริง ๆ เราเห็นด้วยกับรัฐบาลด้วยซ้ำที่เลื่อนหรือตัดลดงบประมาณในโครงการจัดหาอาวุธออกไป เพราะจากภาวะปัจจุบัน ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าสุขภาพ เศรษฐกิจ และการดำรงชีวิตของประชาชนแน่นอน ซึ่งก็เป็นเรื่องที่กองทัพจำเป็นต้องปรับตัว แต่ทั้งนี้ ถ้ากองทัพสามารถปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ได้ เช่น เลือกจัดหาอาวุธภายในประเทศ ก็น่าจะช่วยให้มีเหตุผลเพียงพอที่จะทำการจัดหาในภาวะเช่นนี้ได้ครับ
ด้านล่างนี้คือรายละเอียดงบประมาณปี 2565 ที่ผ่านคณะรัฐมนตรีแล้วครับ