พลันที่ข่าว #กองทัพเรือ เสนอซื้อเรีอดำน้ำจีน 2 ลำ งบกว่า 2 หมื่นล้านบาทปรากฎออกมา ก็เรียกเสียงวิจารณ์ได้เซ็งแซ่เหมือนเดิม ซึ่งถือเป็นภาพเดิมที่ปรากฎซ้ำเป็นปีที่สามแล้ว
ไล่ประวัติคร่าว ๆ กองทัพเรือเสนอซื้อเรือดำน้ำ 2 ลำ งบ 2.2 หมื่นล้าน และได้อนุมัติเตรียมซื้อแล้วในปี 2563 แต่ยังไม่ได้เซ็น ก็เกิดโควิดเสียก่อน รัฐบาลออกพ.ร.บ.โอนงบประมาณเรียกเงินงบไปหมด อดซื้อกันไป
ปี 2564 กองทัพเรือลุยโควิดซื้อเรือดำน้ำอีกครั้ง แต่งวดนี้ถูกตีในสภา หลังจากที่ ส.ส. พรรครัฐบาลตัดสินใจโหวตให้อนุมัติซื้อเรือดำน้ำในชั้นกรรมาธิการงบประมาณ เรียกเสียงคัดค้านแบบมืดฟ้ามัวดิน เพราะรัฐบาลเพิ่งขอกู้ 1 ล้านล้านมาฟื้นฟูประเทศไปไม่กี่สัปดาห์ก่อน กลับมาสั่งให้ลูกพรรคซื้อเรือดำน้ำอีก พร้อมวลีเด็ดตลอดกาลของโฆษกกองทัพเรือท่านที่แล้วคือ “ก็กู้เงินมาแล้ว ก็ให้เราซื้อ (เรือดำน้ำ) สิ”
แต่สุดท้าย รัฐบาลเห็นท่าไม่ดี เพราะกระแสจุดติดทุกหย่อมหญ้า โดยเฉพาะพรรคร่วมรัฐบาลที่ชิงถอยก่อนเลย จึงตัดสินใจให้กองทัพเรือถอนงบประมาณออกมา พร้อมกับหน้าตาเซ็ง ๆ ของผู้บัญชาการทหารเรือในตอนนั้นคือ พลเรือเอก ลือชัย รุดดิษฐ์ ที่มีรายงานว่าเขาไม่พอใจมาก ๆ ที่ดันเรือดำน้ำไม่สำเร็จ เพราะรู้สึกเหมือนถูกลูบคม
มาปีนี้ทุกอย่างเงียบกริบ กองทัพเรือเสนอโครงการเงียบ ๆ กลาโหม อนุมัติเงียบ ๆ ครม. ให้ผ่านเงียบ ๆ ส่งเข้าสภาแบบเงียบ ๆ อธิปรายวาระ 1 ในสภา แม้มี ส.ส.บางคนพูดเรื่องนี้ แต่รัฐมนตรีช่วยกลาโหมผู้ชี้แจงไม่พูดถึงเรือดำน้ำเลย คงพยายามทำให้เงียบที่สุด เหมือนใช้ขีดความสามารถในการซ่อนพรางของเรือดำน้ำให้เป็นประโยชน์ ซึ่งวาระ 1 ก็ผ่านมาได้ พร้อมกับเรือดำน้ำดำเข้ามาสู่วาระ 2
แต่ก่อนที่กลาโหมจะเข้าชี้แจงงบปี 65 ในวันจันทร์นี้ กระแสก็จุดติดอีกจนได้ โดย ส.ส. ฝ่ายค้านเจ้าเก่า นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย ที่ประกาศตั้งแต่ปีที่แล้วแล้วว่าจะค้านซื้อเรือดำน้ำอีก คราวนี้เรียกแขกสำเร็จ ไม่กี่วันเรือดำน้ำกลับเข้าสู่สารบบการด่าของคนไทย ท่ามกลางวัคซีนที่ไม่มีจะฉีด การปิดเมืองที่เศรษฐกิจพังยับ และโควิดเดลต้าที่ยังไม่มีที่ท่าว่าจะเอาชนะได้
แต่คราวนี้รัฐบาลจมูกไว ส่งสายระดับบิ๊กออกมาให้ข่าวผ่านเฟสบุ๊คคุณวาสนา นาน่วม ที่เรื่องการเมืองในกองทัพต้องยกให้คุณวาสนาเป็นอันดับหนึ่งของประเทศ ว่ารัฐบาลพร้อมถอย
และเช้าวันที่ 18 ก่อนการแถลงข่าวของ ส.ส.ยุทธพงษ์ที่ประกาศแฉอีกรอบว่าการซื้อเรือดำน้ำจะดำเนินการผ่านบริษัทเพื่อนสนิทของบิ๊ก “ป.” ในรัฐบาล ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ก็ออกมาให้ข่าวในฐานะเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐว่า พลังประชารัฐไม่เห็นด้วยกับการซื้อเรือดำน้ำ เพราะประเทศยังอยู่ในช่วงการระบาดของโควิด-19 ที่เหมือนกับการสู้ในสงครามโลกครั้งที่สาม นัยว่าชิงถอยก่อนเลย คงเพราะเห็นว่าดันไปก็เกมส์อยู่ดี และอาจจะส่งผลต่อเสถียรภาพรัฐบาลด้วย
และเรือดำน้ำ S26T ลำที่ 2-3 ภาคสามก็จบลงอย่างรวดเร็ว
TAF เห็นความเคลื่อนไหวในรอบสองสามวันที่ผ่านมาก็แปลกใจ โดยเฉพาะแปลกใจที่ท่าที่ของรัฐบาล ที่ TAF เชื่อว่า ถ้าจะด่า ต้องด่ารัฐบาลถึงจะถูก
เรือดำน้ำเป็นโครงการใหญ่ มูลค่าหลักสองหมื่นกว่าล้าน ผ่อนจ่ายกันทีละ 7 – 8 ปี ถ้ากระทรวงกลาโหมไม่ไฟเขียว รัฐบาลไม่โอเค มีหรือกองทัพเรือจะเสนอขึ้นมา
การดำเนินการในปี 64 ของกองทัพเรือนั้น ตอนแรกดูเหมือนจะถอดใจไปแล้ว พร้อมอาการน้อยใจที่สองปีที่ผ่านมาโดนยึดเงินคืนไปกว่า 1.2 หมื่นล้านบาท แต่ช่วงหลังก็มีการเจรจากับผู้ผลิตในจีน ขอลดยอดผ่อนต่องวดลง โดยงวดแรกจากเกือบ 4 พันกว่าล้าน ขอผ่อนแค่ 900 ล้านเท่านั้น เรียกว่าขอลดแลกแจกแถมกันกระจาย ขอจนจีนยอม แล้วจึงเสนอขอโครงการขึ้นมาผ่านกองบัญชาการกองทัพไทย เรื่อยมาจนถึงกระทรวงกลาโหม ซึ่งเห็นชอบให้บรรจุเข้าไปในร่างงบประมาณปี 65 ที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติแล้วส่งให้สภาพิจารณา
แต่พอกระแสแรง รัฐบาลกลับบอกว่าไม่เห็นด้วยกับการซื้อเรือดำน้ำและพร้อมโหวตล้มเสียอย่างงั้น ทั้ง ๆ ที่กระทรวงกลาโหมและรัฐบาลก็เป็นคนเสนอเรือดำน้ำเข้ามาเอง แบบนี้มันตลกไปหน่อย
เพราะถ้าไม่เห็นด้วยตั้งแต่ต้นจริง ๆ ทำไมไม่บอกกองทัพเรือว่า ปีนี้ไม่ต้องเสนอซื้อเรือดำน้ำขึ้นมาเพราะโควิดแรง ให้ไม่ได้ หรือถ้าเสนอมาแล้ว ก็ควรต้องปัดตกตั้งแต่ระดับรัฐมนตรีกลาโหม หรือแม้แต่คณะรัฐมนตรี แต่นี่เพิ่งจะมาแสดงอาการค้านในตอนนี้ คืออีก 2 วันจะชี้แจงงบ และหลังจากเรื่องแดง
โฆษกกองทัพเรือคนปัจจุบันก็ยังพูดเลยว่า กองทัพเรือก็มีหน้าที่เสนอไป ซึ่งก็จริงของกองทัพเรือ เพราะกองทัพเรือก็คือลูกน้องรัฐบาล อยากได้อะไรก็บอก เจ้านายจะให้ไม่ให้ก็อีกเรื่อง กองทัพเรือก็มองในกรอบตัวเองว่าเรือดำน้ำมีลำเดียวใช้ไม่ได้ ยังไงก็ควรมีสามลำ ก็เลยเสนอมา และที่ผ่านมาขอทุกครั้งเจ้านายให้ทุกครั้ง แต่พอโดนด่า เจ้านายชิ่งให้ลูกน้องโดนด่าคนเดียว แบบนี้มันประหลาดไปนิด
TAF เลยคิดว่า รัฐบาลไม่ได้อยากจะถอยตั้งแต่ต้นหรอก จริง ๆ ก็อยากซื้อเรือดำน้ำนั่นแหละ และเป็นคนบรรจุโครงการนี้เข้ามาเอง แต่พอเห็นท่าจะไม่ดี เลยชิ่งดีกว่า แบบนี้มันตลกไปหน่อย
รัฐมนตรีกลาโหมของไทยมีชื่อว่าพลเอก #ประยุทธ์ #จันทร์โอชา ซึ่งควบตำแหน่ง #นายกรัฐมนตรี ด้วย ต้องมีหน้าที่กลั่นกรองโครงการตั้งแต่ในชั้นกระทรวงกลาโหมแล้ว แต่ถ้ารัฐมนตรีบอกว่าไม่รู้ เห็นอะไรก็ปล่อยผ่านไป ไม่ต้องกลั่นกรอง แล้วโดนด่าขึ้นมาก็โบ้ยกองทัพ แบบนี้ก็ไม่รู้จะมีรัฐมนตรีไว้ทำไม
ย้ำว่ากองทัพเรือจะเสนอได้ไม่แปลก แต่รัฐบาลนี่สิกลับรับลูกดันต่อ ดังนั้นมีอะไร ต้องด่ารัฐบาลพลเอกประยุทธ์แล้ว ณ จุดนี้ว่าดันทุรังดัน แต่พอเกิดเรื่องก็ชิ่ง ให้กองทัพรับไป นี่ขนาดนายกเป็นทหารเก่านะ ยังชิ่งให้ลูกน้องโดนด่าคนเดียวเลย
จริง ๆ ถ้าพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะรัฐมนตรีกลาโหม และพลเอก #ชัยชาญ #ช้างมงคล รัฐมนตรีช่วยว่าการกลาโหมจะ “หล่อ” ล่ะก็ จะต้องห้ามกองทัพเรือตั้งแต่ต้นแล้วว่าอย่าเสนอมา ถ้ากองทัพเรือยังจะเสนอมา ต้องปัดตกตั้งแต่ระดับกระทรวงกลาโหมแล้ว แบบนี้ถึงเรียกว่า ไม่อยากซื้อจริง ๆ
แต่ข้อเท็จจริงมันกลับกัน รัฐบาลก็รู้อยู่เต็มอกว่าตั้งแต่อนุมัติโครงการนี้เมื่อตอนต้นปี 64 ว่า ตอนนั้นโควิด-19 เวอร์ชั่นเดลต้าเริ่มเข้าแล้ว วัคซีนก็ยังมีแต่ชิโนแวค เศรษฐกิจก็ยังไม่ฟื้น แต่คณะรัฐมนตรีก็ยังอนุมัติเสนอของบซื้อเรือดำน้ำ เรื่อยมาจนถึงเดือนมิถุนายนที่เป็นการอภิปรายงบประมาณในวาระที่ 1 ซึ่งสถานการณ์ตอนนั้นหนักหนาสาหัสแล้ว ทั้งเศรษฐกิจและสาธารณสุขล่มสลาย ถ้ารัฐบาลเห็นสถานการณ์แล้วจริงใจจะไม่ซื้อจริง ๆ ต้องแถลงกลางสภาตั้งแต่วาระ 1 แล้วว่า จะขอถอย ไม่ผลักดันให้ซื้อเรือดำน้ำอีกต่อไป แต่ก็ไม่ถอย ไม่พูดถึงเลยด้วยซ้ำ และให้โหวตผ่านวาระ 1
มาถึงวันนี้ กะอีก 24 ชั่วโมงจะชี้แจงงบกลาโหมแล้ว เพิ่งให้หัวขบวนออกมาสั่งถอย แบบนี้ถือว่าจริง ๆ ไม่ได้อยากจะถอย แค่ดูแล้วสู้กระแสไม่ได้ก็เลยถอยมากกว่า
TAF ย้ำอีกครั้ง โครงการระดับนี้ ถ้าไม่มีไฟเขียวจากรัฐบาล และ “บิ๊ก” ในรัฐบาล ไม่มีหรอกครับที่จะเสนอมาได้ ถ้าเสนอมาแบบนี้ แถมมีให้กองทัพเรือไปเจรจาปรับยอดจ่ายแล้วด้วย แปลว่ารัฐบาลนั่นแหละจะเอา ไม่ใช่กองทัพเรือคนเดียว
ดังนั้นรอบสามนี้ ด่าแต่กองทัพเรืออยากได้ดูท่าจะไม่ได้แล้ว ควรจะด่ารัฐบาลด้วย และจริง ๆ ควรด่าเป็นหลักด้วย ในฐานะที่ตัวเองเสนอมาเอง แล้วพอเกิดเรื่องก็ชิ่งเอง แบบนี้ไม่ไหวครับ