กองทัพเรือ จัดหารถหุ้มเกราะ 8×8 และ 4×4 ลุ้นรถเกราะฝีมือคนไทยได้เข้าประจำการ

กองทัพเรือออกประกาศกำหนดราคากลางสองโครงการในการจัดซื้อรถหุ้มเกราะล้อยาง 8×8 ชนิดลำเลียงพล จำนวน 2 คัน รวมมูลค่า 99.9 ล้านบาท (คันละ 49.95 ล้านบาท) และจัดซื้อรถหุ้มเกราะอเนกประสงค์แบบขับเคลื่อน 4 ล้อหรือ 4×4 จำนวน 6 คัน มูลค่าโครงการ 99.9 ล้านบาท (คันละ 16.65 ล้านบาท)

โดยโครงการจัดหารถหุ้มเกราะ 4×4 นั้น เหมือนเป็นโครงการต่อเนื่องจากโครงการชื่อเดียวกันในปี 2563 ที่มีการจัดหารวม 6 คันไปเมื่อปี 2563 ซึ่งผู้ชนะคือบริษัท ชัยเสรี เมทัล แอนด์ รับเบอร์ จำกัดที่เสนอรถ First Win II ซึ่งการจัดหาในปี 2564 นี้มีสามบริษัทที่ส่งใบเสนอราคามาทำราคากลางคือ บริษัท ชัยเสรี เมทัล แอนด์ รับเบอร์ จำกัด และอีกสองบริษัทคือ บริษัท นันทเทรด จำกัด และห้างหุ้นส่วนจำกัด ส.สยามพานิช ซึ่งคาดว่าทั้งสองบริษัทน่าจะเป็นตัวแทนของยานเกระา 4×4 จากต่างประเทศ แต่ถ้าพิจารณาว่ากองทัพเรือจัดหา First Win II เข้าประจำการแล้ว ก็น่าจะทำการจัดหา First Win II ต่อเนื่องอีกในปีนี้ (รายละเอียดโครงการปี 2563 ที่ https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=10158739426414612&id=377261239611)

อีกโครงการหนึ่งที่น่าสนใจคือโครงการรถหุ้มเกราะล้อยาง 8×8 ชนิดลำเลียงพล จำนวน 2 คัน ซึ่งมีสามบริษัทที่ส่งใบเสนอราคามาทำราคากลางก็คือบริษัท พนัส แอสเซมบลีย์ จำกัด บริษัท ชัยเสรี เมทัล แอนด์ รับเบอร์ จำกัด และบริษัท ปรีชาถาวรอุตสาหกรรม จำกัด

โดยพนัส แอสเซมบลีย์นั้นมียานเกราะรุ่น R600 ที่เปิดตัวในงาน Defense and Security 2019 และได้รับการรับรองมาตรฐานยุทโธปกรณ์ของกระทรวงกลาโหมไปแล้วเมื่อไม่นานมานี้ ทำให้สามารถเสนอเข้าแข่งขันในโครงการจัดหาของกองทัพเรือได้

ในส่วนของบปรีชาถาวรอุตสาหกรรมนั้น มีแบบรถ DTI 8×8 BWS ซึ่งใช้แบบแผนของยานเกราะ Terrex เป็นต้นแบบ (คนละบริษัทกับ AAPC ซึ่งผลิตโดยบริษัท ช.ทวี ที่ใช้แบบแผนยานเกราะ Terrex 2 เป็นต้นแบบ) โดย BWS ผ่านการรับรองมาตรฐานยุทโธปกรณ์แล้วเช่นกัน

สำหรับชัยเสรีนั้น ที่ผ่านมายังไม่มีโครงการพัฒนาหรือทดสอบยานเกราะ 8×8 ของตนเอง แต่เมื่อหลายปีก่อนมีข่าวว่าชัยเสรีเสนอยานเกราะ CM-32 ที่ใช้แบบแผนเดียวกับ Terrex ของ ST Engineering เข้าแข่งขัน แต่ยังไม่แน่ชัดว่าชัยเสรีเสนอยานเกราะ 8×8 แบบใดเข้าแข่งขัน และยานเกราะนั้นได้รับการรับรองมาตรฐานยุทโธปกรณ์หรือยัง หรืออาจจะเป็นเพียงตัวแทนของยานเกราะจากต่างประเทศก็เป็นได้

ทั้งนี้ ตามคุณลักษณะจำเพาะที่กองทัพเรือกำหนดไว้สำหรับรถเกราะ 8×8 นั้น ต้อง ต้องบรรทุกกำลังพลได้ไม่น้อยกว่า 18 นาย รวมผู้บังคับรถและคนขับ ใช้เครื่องยนต์ดีเซลขนาด 600 แรงม้า เกียร์อัตโนมัติ มีเกราะแบบ NATO STANAG 4569 Level II ความเร็วบนถนนไม่น้อยกว่า 110 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ไต่ลาดชันไม่น้อยกว่า 60% พิสัยปฏิบัติการไม่น้อยกว่า 800 กิโลเมตร ความเร็วสูงสุดในน้ำ 12 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ความกว้างของตัวรถไม่น้อยกว่า 3,400 มม. ความยาวของตัวรถไม่น้อยกว่า 9,000 มม. ความสูงของตัวรถไม่น้อยกว่า 2,750 มม. น้ำหนักรถไม่น้อยกว่า 21 ตัน มีอุปกรณ์เป็นเครื่องยิงกระสุนควันเพื่อพรางตัวเองข้างละ 4 ท่อยิง เครื่องสูบน้ำฉุกเฉิน 2 ชุด ยาง Run Flat เครื่องปรับอากาศ ถังน้ำมันเชื้อเพลิงแบบอุดรอยรั่ว เครื่องยนต์ Water Jet

ระบบอาวุธต้องสามารถติดตั้งระบบอาวุธต่อไปนี้เป็นทางเลือกได้ในภายหลัง (Option) ซึ่งต้องสามารถสั่งยิงจากภายในตัวรถได้คือ ปืนกลอัตโนมัติขนาด 12.7 มม. และขนาด 7.62 มม. ป้อมปืนอัตโนมัติขนาด 30 มม. เครื่องยิงลูกระเบิดขนาด 30 มม. หรือ 40 มม. ข้างละ 4 ท่อยิง ระบบอาวุธต่อต้านอากาศยาน เครื่องยิงจรวดต่อสู้รถถัง เครื่องยิงลูกระเบิดต่าง ๆ เช่น ขนาด 60 มม. ขนาด 81 มม. หรือขนาด 120 มม. สามารถติดตั้งกล้องตรวจการณ์ได้ทั้งในเวลากลางวันและกลางคืน

ซึ่งจากคุณสมบัติเหล่านี้ค่อนข้างชี้ชัดว่า รถเกราะ R600 ของ พนัส แอสเซลบลี มีโอกาสมากที่สุดในการได้รับคัดเลือก

ทั้งนี้ ทั้งสามบริษัทเป็นบริษัทที่มีขีดความสามารถในการผลัตรถหุ้มเกราะในประเทศด้วยกันทั้งสิ้น TAF จึงหวังว่ากองทัพเรือจะเลือกยานเกราะที่ผลิตหรือประกอบในประเทศ โดยใช้ชิ้นส่วนบางส่วนหรือทั้งหมดที่ผลิตขึ้นเองในประเทศ เพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมป้องกันประเทศของไทย

ซึ่งถ้าทั้งสองโครงการ กองทัพเรือเลือกแบบรถหุ้มเกราะที่ผลิตในประเทศ ก็น่าจะถือว่าเป็นเรื่องที่น่าชื่นชมและยินดี และเหมาะสมกับสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันที่อย่างน้อยที่สุด งบประมาณจากการจัดซื้อบางส่วนก็จะตกอยู่ในมือคนไทยซึ่งเป็นผู้ผลิต และผู้ผลิตก็จะได้มีประวัติว่าเคยขายยานเกราะให้กับกองทัพเรือไทยเข้าประจำการจริง เพื่อสร้างประวัติการทำงานที่จะเปิดโอกาสให้มีการขายยานเกราะในโครงการอื่น ๆ หรือต่างประเทศต่อไปครับ