TAF สรุปการอภิปรายไม่ไว้วางใจบางส่วนที่เกี่ยวข้องกับกองทัพ โดยเฉพาะการจัดหายุทโธปกรณ์ที่น่าสนใจของ ส.ส.คนต่าง ๆ และการชี้แจงของผู้เกี่ยวข้อง โดยในตอนนี้เป็นการอภิปรายของ พิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ – Phicharn Chaowapatanawong จาก พรรคก้าวไกล – Move Forward Party ครับ
กองทัพบก เรื่องการซ่อมรถ M35 และ UNIMOG
- มีการเปลี่ยนแปลงงบประมาณการจัดหาเครื่องบินใช้งานทั่วไป Gulfstream G500 มูลค่า 1,350 ล้านบาท หรือ #เครื่องบินVIP เป็นเครื่องบินลำเลียง C-295W มูลค่า 1,250 ล้านบาทนั้นดูแล้วก็เหมาะสม แต่มีข้อสงสัยว่าเมื่อเปลี่ยนโครงการและเปลี่ยนแปลงงบประมาณแล้ว ส่วนต่าง 100 ล้านบาท หายไปไหน
- โครงการจัดซื้อรถยนต์บรรทุกขนาด 2.5 ตัน 169 คัน มูลค่า 921 ล้านบาท พอเปลี่ยนผู้บัญชาการทหารบกเป็นท่านปัจจุบัน ก็มีการเปลี่ยนแปลงโครงการอย่างรวดเร็วเป็นโครงการซ่อมบำรุงรถยนต์บรรทุก M35 2.5 ตันและรถ UNIMOG 1.25 ตัน
- การซ่อมรถ M35 ซึ่งมีอายุใช้งานหลายสิบปีนั้นเป็นการซ่อมแบบเหลือแต่โครง คืออัพเกรดจาก M35A2 เป็น M35A2I จำนวน 259 คัน มูลค่า 518 ล้านบาท โดยศูนย์ซ่อมสร้างยุทธยานยนต์ของกองทัพ ส่วน UNIMOG จ้างเอกชนทำ 201 คัน มูลค่า 403 ล้านบาท โดยรวมเป็นการเปลี่ยนเครื่องยนต์ ย้ายพวงมาลัยจากซ้ายมาขวา ติดตั้งพวงมาลัยพาวเวอร์ ติดเครื่องปรับอากาศ ฯลฯ
- เมื่อเปรียบเทียบการซ่อมรถ M35 259 คันแล้วพบว่า การซื้อใหม่จะใช้งบประมาณ 4.7 – 5.45 ล้านบาทต่อคัน กินน้ำมัน 5.5 กม./ลิตร แต่ไม่สนับสนุนการจ้างงานในประเทศ ถ้าจ้างเอกชนซ่อมจะเสียค่าซ่อมราว 2.5 ล้านบาทต่อคัน ไม่ทราบอัตราการกินน้ำมัน แต่ถือว่าได้สนับสนุนการจ้างงานในประเทศ แต่สุดท้ายกองทัพเลือกที่จะซ่อมเอง เสียเงิน 2 ล้านบาทต่อคัน ไม่ทราบอัตราการกินน้ำมัน และไม่สนับสนุนการจ้างงานในประเทศ
- ปัญหาสำคัญคือการซ่อมเองนั้น มีการจัดซื้อเครื่องยนต์ Commin B6T5.9 กองทัพตั้งราคาไว้ 7 แสนบาทต่อเครื่อง แต่เมื่อตรวจสอบราคากับผู้ผลิตจริง ๆ พบว่าราคาขายแค่ 3 แสนบาทต่อเครื่อง ทำให้มีส่วนต่างคันละ 4 แสน รวม 100 ล้านบาท
- ดังนั้นการจะซื้อใหม่หรือจ้างเอกชนซ่อมนั้น อาจจะถกเถียงหรือเลือกตัวเลือกไหนก็ได้ แต่ไม่ควรจะซ่อมเอง
- ตอนเปลี่ยนแปลงโครงการ กองทัพบกให้เหตุผลว่าต้องเปลี่ยนแปลงเพราะรถรุ่น KM250 ของ Kia นั้นจะเลิกผลิต และติดปัญหาโควิดทำให้ต้องจ้างเอกชนซ่อม และเปลี่ยนมาเป็นซ่อมเอง แต่เมื่อตรวจสอบกับผู้ช่วยทูตทหารเกาหลีใต้ประจำประเทศไทยแล้วพบว่าไม่เป็นความจริง เกาหลีใต้ไม่มีแผนปลดประจำการหรือยกเลิกการผลิต และได้รับการชี้แจงว่ากองทัพบกเคยไปดูงาน Seoul ADEX แล้วจึงต้องการทำ G2G เพื่อซื้อ แต่ต่อมาอ้างเหตุผลดังกล่าวเพื่อขอเปลี่ยนโครงการ ซึ่งผู้ช่วยทูตทหารทำหน้งสือแย้งไปยังกระทรวงกลาโหมและสำนักงบประมาณแล้ว แต่ไมได้รับการตอบกลับ และยืนยันว่ายังมีการผลิตและประจำการรถ KM250 อย่างต่อเนื่อง ทำให้เหตุผลที่กองทัพบกไม่เป็นความจริง
- สำหรับรถ UNIMOG ที่มีค่าซ่อม 2 ล้านนั้น ถ้าเทียบกับการจัดหารถจาก Tata เพียงคันละ 2.2 ล้านเท่านั้น ซึ่งเป็นการจัดหาใหม่ ซึ่งขัดกับนโยบายของกองทัพบกที่กำหนดว่าราคาซ่อมต้องไม่เกินราคา 65% ของราคาซื้อใหม่ ถ้าเกินให้พิจารณาปลดระวางและจัดหาใหม่
- นอกจากนั้นยังมีประเด็นเรื่องการเขียน TOR ว่าอาจจะมีการล็อคสเปคผู้เข้าประมูลหรือไม่ เพราะกำหนดว่าผู้ที่เข้าประมูลได้ต้องเป็นตัวแทนจำหน่ายอะไหล่ ไม่ใช่ตัวแทนซ่อม
- ทำให้โครงการนี้ผิด พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลัง ผิดระเบียบกองทัพบกว่าด้วยการซ่อมบำรุงยุทโธปกรณ์ และทำให้ประเทศชาติเสื่อมเสียชื่อเสีย
กองทัพอากาศ เรื่องส่วนต่างราคาจัดหา T-50TH
- การจัดหาเครื่องบินฝึก T-50TH ที่แบ่งเป็น 4 ระยะนั้น พบว่าระยะที่ 2 และ 4 ซึ่งมีการซื้อเครื่องบิน 8 และ 4 ลำ เพิ่มเติมจากระยะที่ 1 อีก 4 ลำ แต่มีราคาต่อลำเพิ่มขึ้น 14% และ 8% คือเพิ่มขึ้นจาก 25.88 ล้านเหรียญสหรัฐต่อลำเป็น 29.54 ล้านเหรียญสหรัฐต่อลำในระยะที่ 2 และ 31.81 ล้านเหรียญสหรัฐต่อลำในระยะที่ 4 รวมแพงขึ้น 1.3 พันล้านบาท หรือแพงขึ้น 23% ซึ่งทุกลำออปชั่นเหมือนกันหมด
- เมื่อไปดูรายการชิ้นส่วนและอะไหล่ต่าง ๆ ของการจัดหานั้น จะพบว่าราคาของรายการเดียวกัน รุ่นเดียวกัน สเปคเดียวกัน แต่ราคาแพงขึ้นมากกว่า 30% เช่น
- เครื่องยนต์ F404-GE-102 ปี 2558 จัดหาเครื่องละ 5.73 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่ปี 64 จัดหาเครื่องละ 6.61 ล้านเหรียญสหรัฐ
- EDTU ปี 2558 จัดหาเครื่องละ 4.7 แสนเหรียญสหรัฐ แต่ปี 64 จัดหาเครื่องละ 6.3 แสนเหรียญสหรัฐ
- Fuel Metering Unit ปี 2558 จัดหาเครื่องละ 7.2 แสนเหรียญสหรัฐ แต่ปี 64 จัดหาเครื่องละ 9.7 แสนเหรียญสหรัฐ
- Smart Multifunction Display ปี 2558 จัดหาเครื่องละ 7.4 หมื่นเหรียญสหรัฐ แต่ปี 64 จัดหาเครื่องละ 9.9 หมื่นเหรียญสหรัฐ
- Integrated Mission and Display Computer ปี 2558 จัดหาเครื่องละ 3.2 แสนเหรียญสหรัฐ แต่ปี 64 จัดหาเครื่องละ 4.3 แสนเหรียญสหรัฐ
- Transponder และ IFF ปี 2558 จัดหาเครื่องละ 6.2 หมื่นเหรียญสหรัฐ แต่ปี 64 จัดหาเครื่องละ 8.3 หมื่นเหรียญสหรัฐ
- Auxiliary Powoer Unit ปี 2558 จัดหาเครื่องละ 5.6 แสนเหรียญสหรัฐ แต่ปี 64 จัดหาเครื่องละ 7.5 แสนเหรียญสหรัฐ
- Radome Assy ปี 2558 จัดหาเครื่องละ 5.6 หมื่นเหรียญสหรัฐ แต่ปี 64 จัดหาเครื่องละ 7.5 หมื่นเหรียญสหรัฐ
- Wheel Assy และ MLG ปี 2558 จัดหาเครื่องละ 2.5 หมื่นเหรียญสหรัฐ แต่ปี 64 จัดหาเครื่องละ 6.4 หมื่นเหรียญสหรัฐ
- VOR/ILS Receiver ปี 2558 จัดหาเครื่องละ 6.1 หมื่นเหรียญสหรัฐ แต่ปี 64 จัดหาเครื่องละ 8.2 หมื่นเหรียญสหรัฐ
- Embedded GPS/INS ปี 2558 จัดหาเครื่องละ 1.7 แสนเหรียญสหรัฐ แต่ปี 64 จัดหาเครื่องละ 2.4 แสนเหรียญสหรัฐ
- Main Generator ปี 2558 จัดหาเครื่องละ 3.1 แสนเหรียญสหรัฐ แต่ปี 64 จัดหาเครื่องละ 4.1 แสนเหรียญสหรัฐ
- ซึ่ง 6 ปี แพงขึ้นพอ ๆ กัน 34% แทบทุกรายการ เป็นการแพงขึ้นเท่ากันหมด น่าจะเป็นการจัดซื้อที่มีส่วนต่างและผลประโยชน์