จากกรณีที่เจ้าของร้านทองที่ถูกโจรบุกปล้นร้านและเกิดการยิงต่อสู้กันจนทำให้ลูกค้าถูกลูกหลงเสียชีวิตไป 1 คน ซึ่งภายหลังพบว่ากลายเป็นการเสียชีวิตจากการยิงผิดตัวของเจ้าของร้าน จึงเกิดคำถามว่า ในกรณีที่ชุลมุนวุ่นวายแบบนี้ เราจะมีเทคนิคอย่างไรในการใช้ปืนเพื่อป้องกันตัวเองและทรัพย์สินได้
วันนี้ TAF สนทนากับคุณพริสร์ สมุทรสาร ผู้เชี่ยวชาญด้านผลิตภัณฑ์อาวุธปืน บริษัท อุตสาหกรรมผลิตอาวุธ จำกัด (WMI) และเจ้าของช่อง Jimmy WeebShooter ใน YouTube เกี่ยวกับเทคนิคและวิธีการใช้ปืนเพื่อป้องกันตัว ซึ่งไม่ใช่แต่เจ้าของร้านทองเท่านั้น แต่ทุกคนที่มีปืนควรนำไปใช้ไม่ว่ากรณีใด ๆ เพื่อความปลอดภัยสูงสุดทั้งต่อตัวเราและผู้อื่น
“ในกรณีของร้านทองหรือร้านค้านั้น กระจกกันกระสุน ลูกกรง ประตูออโต้ล็อค ระบบกันขโมย หรือกล้องวงจรปิดคุณภาพสูง มีสำคัญกว่าปืนมาก ปืนเป็นเพียงเครื่องมือที่จะยุติ ยับยั้ง และป้องกันภัยคุกคามเมื่อภัยนั้นมาถึงตัวแล้วเท่านั้น”
เนื่องจากไม่ใช่ทุกกรณีที่เราจะสามารถใช้ปืนหรือชักปืนออกมาได้ เพราะตามกฎหมายแล้ว มีประเด็นละเอียดอ่อนจำนวนมากที่จำเป็นจะต้องรู้เมื่อต้องใช้ปืน และถ้าใช้ผิดวิธี จะเป็นผู้ใช้ปืนเองต่างหากที่เดือดร้อน แต่อุปกรณ์ป้องกันเหล่านี้สามารถใช้งานและให้การป้องกันกับเราได้ตลอด 24 ชั่วโมงโดยไม่ผิดกฎหมาย และถ้าออกแบบระบบดี ๆ ก็สามารถยับยั้งภัยคุกคามโดยที่เราไม่ต้องนำปืนออกมาใช้งานให้เสี่ยงอันตรายด้วยซ้ำ
แต่ถ้าอยากจะมีปืนเอาไว้ป้องกันชีวิตและทรัพย์สินจริง ๆ คุณพริสร์เพิ่มเติมว่า ชนิดของปืนไม่ใช่เรื่องสำคัญเป็นอันดับแรก จะปืนพก ปืนสั้น ปืนยาว ปืนอัตโนมัติ หรือปืนลูกโม่ ก็ไม่สำคัญเท่ากับการฝึกและการควบคุมสติ การฝึกที่ดีจะทำให้เราเข้าใจลักษณะของปืนที่เรามี ขีดจำกัดในการใช้งาน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้งานให้ปลอดภัย ดังนั้นไม่ใช่พียงการซื้อปืนมาเก็บไว้แล้วก็จบกัน แต่ควรรับการฝึกจากผู้เชี่ยวชาญอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยเดือนละหนึ่งครั้ง
“สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือสติ การควบคุมสติ และการยืนยันเป้าหมาย เราไม่ควรและไม่อาจให้สถานการณ์เข้ามาครอบงำอารมณ์และขีดความสามารถของผู้ถือปืนได้” คุณพริสร์เสริม

นอกจากนั้นไม่ว่าจะเป็นปืนอะไร ผู้ถือปืนต้องระลึกถึงกฎพื้นฐานของความปลอดภัย 4 ข้อให้ชัดเจนและมั่นใจคือ
- ปฏิบัติกับปืนทุกกระบอกเหมือนมีกระสุนบรรจุอยู่
- ไม่เล็งปืนไปในทิศทางที่ไม่ปลอดภัย
- นิ้วไม่เข้าโกร่งหากยังไม่ยิง
- ยืนยันเป้าหมายที่จะยิงหรือทำลาย
ซึ่งถือเป็นกฎเหล็กที่ใครจะจับปืนจำเป็นจะต้องจำและสร้างทักษะจนฝังอยู่ในจิตใต้สำนึกทุกครั้ง
คุณพริสร์ กล่าวว่า “แค่ข้อ 2 กับ 4 ถ้าเรามีสติ เหตุการการยิงใส่ผิดเป้าจะไม่เกิดเลย โดยเฉพาะถ้าทุกคนมีพื้นฐานการมองเป้าแบบสามมิติ (3-Dimension Awareness) คือพื้นการยิง หมายถึงตัวเราเอง เป้าหมาย คือคนหรือสิ่งของที่เราจะยิง และสิ่งนอกเหนือไปจากเป้าหมาย คือสภาวะแวดล้อม เราจะเอาแค่เล็งปืนผ่านศูนย์เล็งอย่างเดียวไม่ได้ การตรวจการณ์โดยรอบก็สำคัญ เช่นในกรณีของโจร ถ้าเราจะยิงโจร ต้องระลึกว่าถ้ายิงแล้ว กระสุนจะทะลุไปโดนใครไหม? คนที่ปืนเล็งใส่ใช่โจรจริงหรือไม่? โจรถือมีด ถือปืน หรือมีอาวุธอะไรไหม? รอบตัวเรามีใครบ้าง? “
“ทักษะเหล่านี้ล้วนเกิดจากการฝึก ถ้าเราฝึกมาอย่างถูกต้อง สมองเราสามารถประมวลผลกฎเกณฑ์ทั้งหมดนี้ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งวินาทีด้วยซ้ำ หรือต่อให้ขาดการฝึก แต่ถ้ายังจำกฎ 4 ข้อได้แม่น อันตรายก็จะไม่เกิดกับเราและคนรอบข้างได้เลย”

ในอีกด้านหนึ่ง เมื่อสิ่งที่เราต้องพิจารณาก็คือในสถานการณ์เหล่านั้นควรจะใช้ปืนหรือไม่ และถ้าใช้ ใช้อย่างไร ซึ่งมีหลายคนบอกว่า ถ้ามีปืนไว้ก็ดี โจรเข้ามาสามารถชักปืนออกมาขู่ได้เลย แต่ตรงนี้คุณพริสร์มีข้อสังเกตุที่น่าสนใจคือ
“จริง ๆ แล้วมองว่าการขู่ไม่มีจริง เพราะแค่ชักปืนออกมาก็ถือว่าใช้ปืนแล้ว ดังนั้นชักปืนออกมาก็มีแต่จะยิงหรือไม่เท่านั้น และหลังจากเราชักปืนออกมา ฝ่ายตรงข้ามก็จะตอบสนองได้แค่สองทาง คือถ้าฝ่ายตรงข้ามไม่ยุติการคุกคาม ก็จะตอบโต้ทันทีเลย ดังนั้นขอให้ระวัง เมื่อเราดึงปืนออกมาให้ระลึกว่าอีกฝ่ายก็มีปืน ให้พร้อมที่จะเหนี่ยวไกตลอดเวลา แต่ก็ต้องมีสติ และคิดแบบสามมิติเสมอ จึงจะเกิดความปลอดภัยและสามารถปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของเราได้”
คุณพริสร์ทิ้งท้ายว่า สุดท้ายแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดคือสติ ถ้าเรามีสติ เราจะประเมินสถานการณ์ได้โดยใช้หลัก Fight or Flight คือจะสู้หรือหนี ซึ่งเป็นสัญชาตญาณของมนุษย์อยู่แล้ว เพราะส่วนใหญ่ ถ้าเราเห็นว่าเกินกำลังของตนก็มักจะหนี และเช่นเดียวกัน ต่อให้เรามีปืน ก็ไม่ได้หมายความว่าจะได้เปรียบเสมอไป
“ปืนไม่สำคัญเท่า Mindset และสติของผู้ใช้ปืนสำคัญที่สุดครับ”