อุปทูตรักษาการแทนเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย นายไมเคิล ฮีธ ตอบคำถามในอีเมล์ของ TAF เกี่ยวกับประเด็นสงครามยูเครน-รัสเซียว่า รัสเซียกำลังปบิดเบือนข้อมูลเพื่ออ้างเหตุโจมตี แต่แทนที่สงครามจะจบลงอย่างรวดเร็วด้วยชัยชนะอย่างที่ประธานาธิบดีปูตินคาดหวัง กลับต้องพบกับการต้านทานที่เข้มแข็งจากชาวยูเครน
“รัสเซีย รวมถึงเอกอัครราชทูตรัสเซียประจำประเทศไทย กำลังปล่อยข้อมูลบิดเบือนเพื่ออ้างว่า รัสเซียไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากการเปิดฉากโจมตี” อุปทูตฯ ไมเคิล ฮีธ กล่าว
อุปทูตฯ ไมเคิล ฮีธ ยังกล่าวว่าประธานาธิบดีปูตินกำลังรุกรานชาติเอกราช และชื่นชมไทยและประเทศอาเซียนอื่น ๆ ที่ลงมติเรียกร้องให้รัสเซียหยุดใช้กำลังทหารในที่ประชุมใหญ่สหประชาชาติที่ผ่านมา
“ผมขอกล่าวอย่างชัดเจนตั้งแต่ตอนนี้เลยว่า วลาดิมีร์ ปูติน รุกรานชาติเอกราช และประชาชนยูเครนก็มีสิทธิที่จะปกป้องตนเอง อย่าลืมว่ารัสเซียได้รุกรานแคว้นไครเมียซึ่งเป็นดินแดนส่วนสำคัญของยูเครนไปก่อนหน้านี้ อันเป็นสาเหตุหลักให้ยูเครนต้องยกระดับการป้องกันประเทศ ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 141 ประเทศ รวมถึงไทยและชาติอาเซียนอื่น ๆ ได้ลงนามในข้อมติสหประชาชาติเพื่อเรียกร้องให้รัสเซียหยุดใช้กำลังในยูเครน”
“นับตั้งแต่นั้นมา ประธานาธิบดีปูตินยังคงเพิ่มความรุนแรงในการโจมตี ไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาล โรงเรียนและอาคารที่พักอาศัย ทำลายโครงสร้างพื้นฐานและเข่นฆ่าพลเรือน ยุทธวิธีเหล่านี้แสดงถึงความเพิกเฉยอย่างเลือดเย็นต่อชีวิตของประชาชน การมุ่งเป้าไปที่พลเรือนโดยเจตนาเป็นอาชญากรรมสงคราม และเรากำลังติดตามรายงานที่เกี่ยวข้องอย่างรอบคอบ”
อุปทูตฯ ไมเคิล ฮีธ ยังเสริมว่าประธานาธิบดีปูตินคาดการณ์ผิดในการทำสงคราม จึงทำให้ยังไม่สามารถทำการบุกได้อย่างที่คาดคิด และยกย่องชาวรัสเซียจำนวนมากที่ออกมาแสดงการต่อต้านสงคราม แม้จะถูกจับกุมไปเป็นจำนวนมากก็ตาม
“ยิ่งเวลาผ่านไปทุกวัน ยิ่งชัดเจนว่าประธานาธิบดีปูตินคาดการณ์ผิดอย่างมหันต์ ขณะนี้เป็นเวลา 3 สัปดาห์แล้วที่เขาดำเนินสงครามกับยูเครนทั้งที่ปราศจากการยั่วยุ แต่กองกำลังของเครมลินยังคงถูกขัดขวางในหลายพื้นที่ และยังไม่สามารถรุกคืบโดยมีนัยสำคัญได้ นอกจากนี้ เป็นที่ประจักษ์เช่นกันว่าชาวรัสเซียผู้กล้าหาญและรู้ผิดชอบชั่วดีจำนวนมากมายต่อต้านสงครามที่ไม่ชอบธรรมของเครมลิน แม้ว่าผู้เห็นต่างเหล่านี้จะถูกปราบปรามในระดับที่ไม่เคยมีมาก่อน ผู้นำประเทศต่าง ๆ ต่างผนึกกำลังกันตอบโต้สงครามของรัสเซีย และผู้คนทั่วโลก รวมถึงที่ไทยนี้ ก็ได้รวมตัวประท้วงสงครามที่ประธานาธิบดีปูตินสามารถหลีกเลี่ยงได้”
นอกจากนั้นอุปทูตฯ ไมเคิล ฮีธ ยังชื่นชมทักษะและความกล้าหาญของกองทัพยูเครนในการป้องกันประเทศ ซึ่งสหรัฐและพันธมิตรพร้อมจะช่วยสนับสนุนยูเครนในการป้องกันอธิปไตยของตนเอง
“เรายกย่องกองทัพของยูเครนและประชาชนยูเครนทั้งปวงผู้ซึ่งปกป้องประเทศของตนด้วยทักษะอันยอดเยี่ยม ความมุ่งมั่นอันแรงกล้า และความห้าวหาญที่ยิ่งใหญ่ ประชาคมโลกสนับสนุนความพยายามของพวกเขาในการปกป้องประเทศของตนและพลเมืองร่วมประเทศ สหรัฐอเมริกาและพันธมิตรมุ่งมั่นสนับสนุนความพยายามของยูเครนในการปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของตน ตลอดจนจะช่วยเหลือประชาชนยูเครนในการต่อสู้เพื่อประเทศของตนต่อไป”
อุปทูตฯ ไมเคิล ฮีธยืนยันว่า การช่วยเหลือยูเครนของสหรัฐและพันธมิตรเป็นการยืนข้างประเทศเอกราชที่ถูกรุกราน ซึ่งไม่ใช่แต่เฉพาะยูเครนเท่านั้น ถ้าวันหนึ่งประเทศไทยประสบกับสถานการณ์แบบนี้ สหรัฐก็พร้อมจะยืนช้างไทยในลักษณะเดียวกัน
“ความขัดแย้งในลักษณะนี้ละเมิดกฎบัตรสหประชาชาติ และสหรัฐก็จะยืนอยู่ข้างยูเครน ถ้าไทยหรือประเทศอาเซียนอื่นถูกรุกราน เราก็จะไม่พูดว่านี่เป็นเรื่องภายในและไม่ใช่ธุระอะไรของเรา แต่เราและประเทศอื่น ๆ ทั่วโลกก็จะยืนข้างประเทศนั้น และเรียกร้องเพื่อให้แน่ใจว่ากฎบัตรสหประชาชาติได้รับการเคารพ”
“สหรัฐฯ ได้ให้ความช่วยเหลือยูเครนในทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นด้านความมั่นคง เศรษฐกิจและการปกครอง หรือด้านมนุษยธรรม และจะยังคงให้ความช่วยเหลือดังกล่าวต่อไป เมื่อวันที่ 12 มีนาคม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ บลิงเคน อนุมัติงบประมาณเพิ่มเติมจำนวน 200 ล้านเหรียญสหรัฐเพื่อให้ความช่วยเหลือด้านการทหารแก่กองทัพของยูเครน ซึ่งเป็นการอนุมัติเงินจำนวนที่เยอะที่สุดที่มี ณ ขณะนี้เพื่อมอบยุทโธปกรณ์ชนิดที่ยูเครนต้องการเพื่อปกป้องตนเองได้อย่างมีประสิทธิผล โดยรวมไปถึงการให้ความช่วยเหลือด้านการป้องกันประเทศเพิ่มเติมเพื่อให้ยูเครนสามารถรับมือกับกองกำลังติดอาวุธ การโจมตีทางอากาศ และภัยคุกคามอื่น ๆ ที่กำลังประสบอยู่ได้ ความช่วยเหลือด้านการทหารของเราเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามระดับโลกในการช่วยชาวยูเครนป้องกันตนเองจากการรุกรานและความรุนแรงที่ไร้เหตุผลของวลาดิมีร์ ปูติน”
อุปทูตฯ ไมเคิล ฮีธปิดท้ายว่า ทางออกของวิกฤตนี้คือ ประธานาธิบดีปูตินต้องยุติสงคราม และเลือกใช้วิธีทางการทูต ซึ่งเป็นแนวทางที่ประธานาธิบดีเซเลนสกี้ของยูเครนยินดีที่จะดำเนินการ และสหรัฐจะสนับสนุนความพยายามทางการทูตของยูเครนต่อไป
“ความขัดแย้งนี้มีทางออกที่ชัดเจน นั่นคือ ประธานาธิบดีปูตินต้องยุติสงครามนี้ หยุดความรุนแรง ลดความตึงเครียด ถอนกองกำลังของรัสเซียออกจากเขตแดนของยูเครน และเลือกวิธีการทางการทูต ประธานาธิบดีเซเลนสกีได้แสดงความสนใจที่จะดำเนินการดังกล่าว และสหรัฐฯ ได้บอกกับรัฐบาลยูเครนว่า เราพร้อมที่จะสนับสนุนวิธีการทางการทูตใด ๆ ที่ยูเครนต้องการดำเนินการต่อไป”
Chargé d’ Affaires Michael Heath respond to our question in the email about the situation in Ukraine and Putin’s war.
Russia, including its Ambassador here, is spewing disinformation in an effort to claim that Russia had no choice but to attack.
Let me be absolutely clear up front: Vladimir Putin invaded a sovereign nation, and the people of Ukraine have a right to defend themselves. Let’s not forget that Russia’s earlier invasion of Crimea, an integral part of Ukraine, was a principal factor in spurring Ukraine to bolster its defenses. On March 2, 141 countries, including Thailand and other ASEAN countries, signed a UN resolution demanding that Russia immediately cease its use of force in Ukraine. Since then, President Putin has continued to escalate his attack – hitting hospitals, schools and residential buildings, pummeling infrastructure, and killing civilians. These tactics show a callous disregard for the lives of civilians. The intentional targeting of civilians is a war crime, and we are looking carefully at these reports.
It becomes more evident every day that President Putin gravely miscalculated. Now — three weeks into his unprovoked war against Ukraine — the Kremlin’s forces remain stalled in many areas and convoys have been unable to make significant progress. It is also clear that many brave people of conscience in Russia oppose the Kremlin’s unjustified war despite the unprecedented crackdown on dissenting voices. The response to Russia’s war has been unity among world leaders, and people around the world, including here in Thailand, have gathered to protest President Putin’s war of choice.
We salute the armed forces of Ukraine and all its citizens who are defending their country with great skill, iron will, and profound courage. The global community supports their efforts to defend their country and protect their fellow citizens. The United States and our allies are committed to supporting Ukraine’s efforts to defend its sovereignty and territorial integrity and will continue to back the people of Ukraine in their fight for their country.
This type of conflict violates the UN Charter, and the United States stands with Ukraine. If Thailand or another ASEAN country were to be invaded, we wouldn’t say this is an internal matter and that this is not our business. We and other countries around the world will stand with that country and demand that the UN Charter be respected.
Our assistance to Ukraine has been and will continue to flow across all sectors—including security, economic and governance, and humanitarian. On March 12, Secretary of State Blinken authorized the drawdown of an additional $200 million for military assistance for Ukraine’s defense, utilizing the maximum amount of authority currently available to provide Ukraine with the types of weapons it needs to effectively defend itself. This includes further defensive assistance to help Ukraine meet the armored, airborne, and other threats it is facing. Our military assistance is part of a global effort to help Ukrainians defend themselves from the aggression and senseless violence of Vladimir Putin.
There is a clear off-ramp for this conflict – President Putin must end this war, stop the violence, de-escalate, remove Russia’s forces from Ukraine’s territory, and choose diplomacy. President Zelenskyy has expressed interest in that, and we have told the Ukrainian government that we stand ready to support any diplomacy it wants to pursue.
โพสนี้ในเพจของเรา